บทสนทนาสามสิบห้าบทและจดหมายอีกสิบสามฉบับคืองานเขียนของเพลโตที่ตดทอดมาถึงเราบทสนทนาส่วนใหญ่ของเพลโตจะเป็นการสนทนาซึ่งจะมีโสกราติสเข้ามาเป็นละครสำคัญเสียส่วนใหญ่ กล่าวคือผลงานของโสกราติสก็ไม่ต่างอะไรกับผลงานของเพลโต บทสนทนาของเพลโตมีทั้งเรื่องต่างๆไม่ว่าจะเป็นปรัชญา หรืออื่นๆอีกมากมายหลายแขนงวิชา แต่ที่จะเด่นชัดส่วนจะเป็นเรื่องการเมือง บทสนทนาของเพลโตทั้งหมดกล่าวถึงปัญหาทางการเมืองไม่มากก็น้อย กระนั้นก็ดี มีบทสนทนาอยู่สามบทเท่านั้นที่มีชื่อบ่งบอกว่าเป็นเรื่องว่าด้วยปรัชญาการเมืองคือ republic statesman และ laws และเราจะเข้าถึงคำสอนทางการเมืองของเพลโตได้โดยผ่านทางผลงานทั้งสามนี้เป็นหลักนั่นเอง ใน republic มีการอภิปรายถึงธรรมชาติของความยุติธรรมกับคนกลุ่มใหญ่พอสมควร การสนทนาในลักษณะนี้มักจะเป็นสนทนากับคนที่มีลักษณะจำเพาะ ในสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง เป็นการสนทนากับคนที่มีฐานะทางสังคม สันนิษฐานได้ว่าบทสนทนานี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาแห่งความเสื่อมโทรมทางการเมืองของเอเธนส์ ผู้ร่วมสนทนามีความห่วงใยเป็นอย่างมากกับความเสื่อมโทรมนั้น และได้คิดถึงการที่จะทำให้การเมืองนั้นดีขึ้นมาได้ โสกราติสได้เสนอโครงการ ปฏิรูปที่ถึงรากถึงโคน การปฏิรูปนั้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงปัจเจกเท่านั้น ใน republic นั้นจะเน้นไปในเรื่องของความยุติธรรม คุณธรรมสูงสุดในรัฐ และธรรมชาติของมนุษย์
ความยุติธรรมในถูกกล่าวใน republic เรามาดูกันว่าความยุติธรรมคืออะไร ความยุติธรรมคือ สิ่งเดียวกันกับการพูดความจริง และการคืนสิ่งที่บุคคลได้รับมาจากผู้อื่น การพูดความจริงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความยุติธรรม อีกความหมายหนึ่ง ความยุติธรรมอยู่ที่การส่งคืนสิ่งที่มีผู้นำมาฝากไว้ กล่าวโดยกว้างๆก็คือ ความยุติธรรมคือการส่งคืน หรือปลดปล่อยหรือมอบสิ่งที่เป็นของเจ้าของให้เจ้าของทุกๆคน ความยุติธรรมเป็นสิ่งที่ดี นั้นคือเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มิเพียงแต่ผู้ให้แต่รวมไปถึงผู้รับด้วย อีกความหมายหนึ่งความยุติธรรมคือ ผลประโยชน์ของผูที่แข็งแรงกว่า ผู้ที่แข็งแรงกว่าในที่นี้คือผู้ที่แข็งแรงทางสติปัญญา รู้จักคำว่าพอดีสำหรับตน คนไม่กี่คนเท่านั้นที่จะรู้ว่าความเหมาะสมสำหรับตนมีขอบเขตเท่าใด ความต้องการของคนอยู่ที่ไหน ดังนั้นสิ่งที่จะทำให้เราได้รู้ว่าเราต้องการมันเพียงไหนนั้น คือสติปัญญาของเรานั่นเอง จะมีใครสักกี่คนที่จะสามารถกำหนดได้ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญ ควรจะมีปริมาณเท่าใดจึงจะดี คนที่สามารถทำเช่นนี้ได้คือผู้ที่มีสตปัญญาที่ดีเท่านั้น อีกความหมายหนึ่งของคำว่า ความยุติธรรม คือการช่วยมิตรและทำร้ายศัตรู ความยุติธรรมดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งที่ดีอย่างเลี่ยงไม่ได้สำหรับผู้ให้ และสำหรับผู้รับที่ดีกับผู้ให้ สิ่งเดียวที่ผู้ที่มีความยุติธรรมจำต้องทราบคือ เมื่อเขามีความสัมพันธ์กับผู้อื่น อะไรบางที่เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้อื่น กฎหมายจะเป็นตัวกำหนด ความรู้ในเรื่องนี้ โดยหลักการแล้วผู้ที่ยุติธรรมจะต้องให้เฉพาะสิ่งที่ดีแก่มิตรของตน ผู้ที่มีความยุติธรรมจะต้องวินิจฉัยได้และแยกแยะออกว่าใครคือมิตร และใครคือศัตรู ความยุติธรรมต้องเอาความรู้ในลำดับที่สูงเข้าไว้ด้วย ความยุติธรรมต้องเป็นศิลปะ ที่เปรียบเสมือนยาที่คอยรักษาคนให้หายป่วยและทำให้ร่างกายแข็งแรง ผู้ที่มีความยุติจะช่วยผู้ที่มีความยุติธรรมมากกว่าเพื่อเสมอ จากที่จะเป็นผู้ที่มีความยุติธรรมไดนั้นอาจไม่ง่ายสำหรับคนบางคน ความยุติธรรมคือความที่มีจิตใจเอื้อเฟื้อต่อสาธารณหรือการอุทิศตนเพื่อนครรัฐของตน ความยุติธรรมเป็นสิ่งที่ดี ความยุติธรรมจะมีความบริสุทธิ์ในนครรัฐนั้นกฎของรัฐก็ต้องดีด้วย รูปแบบการปกครองต้องดีด้วย ความยุติธรรมจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อนครรัฐนั้นจะต้องดีด้วย
กล่าวคือ republic จะกล่าวถึงความหมายของคำว่า ความยุติธรรม ว่าเป็นเช่นไรมีความหมายอย่างไร ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว การสร้างรัฐในอุดมคตินั่นเนื่องมาจากว่าคำว่าความยุติธรรมนั้นเป็นสิ่งที่เป็นนามอธรรม รัฐในอุดมคติที่ว่า รัฐที่ดีควรมีราชาปราชญ์เป็นผู้ปกครอง ผู้ที่มีความรู้เข้ามาปกครอง ธรรมของมนุษย์ มนุษย์แบ่งออกเป็นสองส่วน คือ ร่างกาย และจิตใจ ในที่นี้เราจะไม่กล่าวถึงร่างกายแต่เราจะกล่าวถึงจิตใจ จิตใจของมนุษย์นั่นอาจจะมีส่วนประกอบอยู่สามสวนคือ ชอบในการเรียน ชอบในเกียรติ ชอบในกามสุข แต่ทว่าสามส่วนที่กล่าวมานั้น มนุษย์มักจะมีอยู่หนึ่งส่วนที่จะเด่นกว่าส่วนอื่นๆ กล่าวคือ หากมนุษย์ มีคุณสมบัติที่ชอบในการเรียนก็จะเป็นนักปราชญ์ หากชอบในเกียติก็จะเป็นนักรบ หรือข้าราชการ หากชอบในกามสุขก็จะเป็นชนชั้นกลาง เรามาดูกันต่อว่าตามปรัชญาดังกล่าวนั้นมนุษย์ในแต่ละแบบสมควรที่จะมีบทบาทอย่างไรต่อสังคม คนที่ชอบในการเรียนก็จะเป็นนักปราชญ์ เหมาะที่จะเป็นผู้ปกครอง คนที่ชอบในกามสุขมีความต้องการไม่สิ้นสุด หวังผลกำไรเหมาะที่จะเป็นพ้อค้าชนชั้นกลาง คนที่ชอบในเกียรติ เหมาะที่จะเป็นทหารปกป้องประชากรภายในรัฐ
การเป็นราชาและรัฐบุรุษล้วนแต่จะเป็นองค์ความรู้ด้วยกันทั้งหมด ดังนั้นความหมายก็ไม่มีความสำคัญมากเพียงแต่ว่า หากผู้ที่มีความรู้จะมีตำแหน่งสูงเนื่องไดรับจากเลือกให้ดำรงตำแหน่ง หรือจะมีชีวิตที่เรียบง่าย ถ้าเช่นนั้นนครรัฐกับครอบครัวก็ไม่มีความแตกต่างกัน การเป็นราชาหรือรัฐบุรุษนั้นเป็นศิลปะที่เกิดจากการออกกำลัง เพื่อที่จะเข้าใจศิลปะของราชา การแบ่งสัตว์ออกเป็นสองสายพันธุ์คือ สัตว์ป่าและมนุษย์จึงไม่เพียงพอที่จะอธิบาย การแบ่งเช่นนี้เปนการแบ่งตามอำเภอใจ แต่ไม่ได้แยกตามธรรมชาติ ศิลปะการแบ่งประเภทหรือแบบ หรือชนชั้นดำเนินไปพร้อมๆกับการฝึกฝนให้รู้จักถ่อมตนและพอประมาณอันที่จริงในธรรมชาติมนุษย์นั้นเท่าเทียมกัน การปกครองนครรัฐกมจากการแบ่งสัตว์ออกเป็นประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะแบ่งตามฝูงเดียวกันหรือจะนอกฝูง การแบ่งการดูแลตามธรรมชาติ ดูแลสายพันธุ์เดียวและต่างสายพันธุ์นั้นก็คือการดูแลคนในชนชันเดียวและต่างชนชั้น การกครองนครรัฐ ตามธรรมชาติแล้วการปกครองย่อมแบ่งออกเป็นการปกครองที่ผู้ใต้การปกครองไม่เต็มใจ และการปกครองแบบผู้ที่อยู่ใต้การปกครองเต็มใจ อย่างแรกคือการปกครองแบบทรราชย์แบบหลังคือการปกครองแบบกษัตริย์
ผลงานชิ้นนี้เป็นผลงานของเพลโต้ที่ว่าด้วยเรื่องทางเมืองมากที่สุดและกล่าวถึงกฎหมายด้วย เป็นการสนทนาเกี่ยวกับการปกครองและกฎหมาย กล่าวได้ว่า นครรัฐทุกนครรัฐอยู่ในสภาวะสงครามที่ไม่ได้ประกาศทำสงครามกับรัฐอื่นๆอยู่ตลอดเวลา ชัยชนะแห่งสงครามเป็นเงื่อนไขแห่งความสงบสุข หากสงครามเป็นตัวกำหนดถึงความสุขและสิ่งที่ดีงามดังนั้นสงครามจงไม่ใช่เป้าหมาย ความดีงามทั้งหลายคือเรื่องของสันติภาพ ดังนั้นคุณธรรมแห่งสงครามคือความกล้าหาญ เรารู้ถึงหลักกาสูงสุดในการบัญญัติกฎหมายว่า กฎหมายต้องเกี่ยวข้องกับคุณธรรม
นครรัฐตามlawsไม่ใช่รัฐแห่งค่ายทหาร การควบคุมความพึงพอใจที่เหมาะสมได้แก่การควบคุมโดยการใช้เหตุผลที่ถูกต้อง ผลลัพธ์ที่ให้เหตุผลนั้นเป็นที่ยอมรับของนครรัฐ ผลลัพธ์ดังกล่าวก็จะกลายกฎหมาย กฎที่เหมาะสมกับชื่อของกฎหมายได้แก่คำสั่งที่มาจากการให้เหตุผลที่ถูกต้องว่าด้วยเรื่องของความพึงพอใจ
การปกครอง การปกครองจะดำรงอยู่ได้ต้องเป็นการปกครองแบบผสม สปาตาร์เป็นรัฐที่มีการปกครองแบบผสมอยู่แล้ว การปกครองแบบราชาเปอร์เซียเหนทีจะเด่นที่สุด และเอเธนส์ จะโดดเด่นในแบประชาธิปไตย ระบบกษัตริย์นั้นคือการปกครองที่มีผู้มีภูมิปัญญาเป็นผู้ปกครอง ประชาธิปไตยหมายถึงความอิสรภาพ การผสมที่ดีและถูกตองคือนำเอาความมีปัญญามาผสมกับอิสรภาพของปัญญากับความยินยอม ของการปกครองโดยกฎหมายทรงปัญญา โดยบัญญัติโดยผู้บัญญัติกฎหมายที่ทรงปัญญาและดำเนินการบริหารโดยสมาชิกที่ดีที่สุดของนครรัฐกับการปกครองโดยคนธรรมดา กฎหมายจะต้องมีบทนำกว้างๆซึ่งคือการชักชวนให้ยกย่องสิ่งต่างๆตามที่ควรจะได้รับเกียรติตามลำดับ การปกครองโดยใช้กฎหมายนั้นเป็นการปกครองที่เลียนแบบการปกครองแบบเทพเจ้า
ในส่วนท้ายนี้lawsได้พูดถึงการปกครองในรูปแบบต่างๆ การใช้กฎหมายควรเป็นไปเช่นไรจุดเด่นของการปกครองในแต่ละรูปแบบนั้นเป็นเช่นดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น รัฐในอุดมคติ คนของรัฐในอุดมคติ การใช้กฎหมายในอุดมติ สามสิ่งที่กล่าวมานั้นล้วนแต่เป็นสิ่งที่มนุษย์ใฝ่ฝัน แต่ด้วยประการทั้งปวงมนุษย์จึงได้แค่เห็นความเป็นอุดมคติ แต่อาจจะเกิดขึ้นจริงได้ยาก นี่แหละคือสิ่งที่เพลโตได้ทิ้งให้กับเรา
ที่มา : http://mid.igetweb.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น